เมื่อจู่ๆปัญหา “ ฟันคุด “ ก็โผล่เข้ามา
กราบสวัสดีท่านผู้ท่านที่เคารพทุกท่าน หลังจากที่ผมได้หายไปนานเนื่องจากติดงานรวมไปถึงการทำเว็บไซต์ตัวใหม่ รวมไปถึงพูดคุยเกี่ยวกับการปรับปรุงเว็บไซต์ Okopanthunderstorm นี้กับทางภรรยาของผมเอง ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาอัพเดตเรื่องราวชีวิตซักเท่าไหร่ ( เว้นแต่จะมีเรื่องสำคัญๆที่ต้องบอกต่ออย่างเช่น Spam Alert ที่ผมเจอ )
ซึ่งหลังจากที่เคลียงานและอะไรหลายๆที่เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็เลยได้มีเวลากลับมาอัพเดตblogของตัวเองอีกครั้งซึ่งผมจะขอประเดิมด้วยเหตุการณ์การผ่า ฟันคุด ที่พึ่งจะเกิดขึ้นกับผมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งผมก็ภาวน้าภาวนาขอให้ไอ้ฟันคุดของผมมันอย่าพึ่งมามีปัญหาในช่วงนี้เลย… แต่มันก็ไม่ฟังและมันก็โผล่ขึ้นมาจนได้ 😥
ปัญหา ฟันคุด ที่มันมารบกวนใจเนี่ย มันเริ่มขึ้นเมื่อปะมาณสองสามอาทิตย์ก่อน โดยที่จู่ๆผมก็รู้สึกปวดตรงบริเวณฟันกรามด้านขวาล่าง ซึ่งผมก็เข้าใจว่าฟันคุดมันคงเริ่มขึ้นมาเต็มที่แล้ว โดยที่ก่อนหน้านั้นผมส่องกระจกดูผมก็เข้าใจว่ามันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ว่าสิ่งที่ผมคิดไว้มันไม่ใช่แม้แต่น้อย ผมคิดว่ามันก็คงจะเป็นปกติเหมือนทุกๆครั้งที่ผมรู้สึก คือมันจะปวดแค่วันนั้นแล้ววันต่อไปก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่ว่าคราวนี้มันปวดไม่หยุดเลย
ผมพยามลองทนอยู่กับอาการปวดนั้นอยู่นานหลายวันโดยมีความหวังที่ว่ามันจะดีขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ด้วยความที่ผมทนไม่ไหวก็เลยลองคุยกับภรรยาของผมถึงอาการปวดฟันคุดของผม ซึ่งเธอก็ได้ลองแนะนำให้ผมไปใช้บริการที่คลีนิคที่พึ่งเปิดใหม่ในละแวกบ้านดูเผื่อว่าเขาจะสามารถรักษาได้
ในตอนแรกผมก็อิดออดไม่อยากไปเพราะผมเองก็แอบกังวลกับเรื่องค่าใช้จ่ายว่าราคามันจะแพง เพราะผมเองก็เคยได้ยินมาว่าค่ารักษาพยายาลที่ญี่ปุ่นนี่ค่อนข้างเอาเรื่องเลยทีเดีย วบวกกับนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะต้อง “ไปหาหมอ” ในต่างแดน บวกกับเรื่องภาษาญี่ปุ่นที่โคตะระจะไม่แข็งแรงของผมมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวล จนสุดท้ายภรรยาผมก็ตัดบทอาจจะด้วยเพราะความรำคาญในความง้องแง้งของผม เธอบอกว่าก็มีประกันอยู่แล้วจะกลัวทำไมกะค่ารักษาส่วนเรื่องภาษาก็ช่างมันเหอะเดี๋ยวเธอช่วยคุยให้….
เออหวะ…ใช่เลยเรามีประกันที่เราต้องจ่ายทุกปีอยู่แล้วนี่นา แถมคุณภรรยาก็จะคอยช่วยคุยให้อีกรอดแล้วเรางานนี้…
note:สำหรับคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะคนญี่ปุ่นหรือคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นนั้นเขาจะมีข้อบังคับให้ทุกคนจ่ายค่าประกัน ซึ่งประกันที่เขามีนั้นก็ค่อนข้างจะครอบคลุมในส่วนของการรักษาพยาบาลรวมไปถึงค่ายารักษา ซึ่งเท่าที่ผมเข้าใจก็คือคุณจ่ายแค่ประมาณ 30% ของค่ารักษา
ปล. หากข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะครับเพราะนี่คือสิ่งที่ผมเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของประกันที่ญี่ปุ่น
ตัดสินใจไปหาหมอ
พอหลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าเราเองก็มีประกันอยู่ผมก็เลยตัดสินใจว่าเอาวะลองดูก็ได้…
ในคืนนั้นผมเองก็ทำใจอยู่นานพอสมควร เพราะถ้าพูดตรงๆผมเองก็ไม่ค่อยจะชื่นชอบกับการที่ต้องไปหาหมอฟันซักเท่าไหร่ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจกับตัวเองว่า “เอาวะถ้าจะต้องผ่าเอาออกก็รีบๆทำให้มันเสร็จๆให้จบๆไปจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลอีก”
วันรุ่งขึ้น (ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันศุกร์) ผมกับภรรยารีบไปที่คลีนิคแห่งนั้นแต่เช้าโดยหวังว่าตัวผมเองก็จะได้รับการรักษาในวันนั้น แต่ว่า!! คิวเต็มครับ – -” ในวันนั้นมีลูกค้าจำนวนมากเข้ามาใช้บริการซึ่งผมไปแต่เช้าแล้วไม่ได้จองไว้กว่าจะได้เจอกับหมอก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงนู่น จนเมื่อถึงคิวผม ก็ทำการเอ็กซ์เรย์เพื่อที่จะดูลักษณะของฟันเจ้าปัญหา (เครื่องมือของคลีนิคที่นี่ผมบอกได้เลยว่ามันล้ำมว้ากกกก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกความสนใจผมมากซะจนมันทำให้ผมลืมความรู้สึกกลัวที่จะต้องโดนผ่าเอาฟันออกไปในทันที) ซึ่งสุดท้ายก็จบลงที่ ยาแก้ปวด และยาฆ่าเชื้อ
คุณหมอบอกกับผมว่ายังไม่สามารถทำการผ่าเอาออกได้เนื่องจากว่าแผลของผมนั้นบวมมากเลยทีเดียว ซึ่งผมก็แอบผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ก็เลยรับยาพร้อมกับนัดพบคุณหมออีกทีในวันอังคารของสัปดาห์ถัดไปแล้วก็กลับบ้านทานยาตามหมอสั่ง…
เมื่อถึงวันที่ต้องพบกับคุณหมออีกครั้ง
เมื่อวันอังคารมาถึงพวกผมก็รีบไปที่คลีนิคแต่เช้าด้วยความฮึกเหิม ไปด้วยอารมณ์ที่แบบว่าวันนี้จะต้องไปรบแล้วเราจะต้องได้รับชัยชนะกลับบ้านแน่ๆ (อารมณ์แบบจริงจังมากๆ)
พอไปถึงคลีนิคในตอนนั้นพวกผมไม่สนแล้วว่าใครจะแก่ใครจะอายุน้อยกว่าหรือไม่ พวกผมต้องได้คิวเป็นคิวแรก…
9.00น.เป็นเวลาที่คลีนิคเริ่มให้บริการ พวกผมรีบวิ่งเข้าไปยังคลีนิคไปยังเคาเตอร์เพื่อแจ้งชื่อเป็นคนแรก (ในตอนนั้นพวกผมวิ่งแซงทุกคนจริงๆนะ) ซึ่งก็เป็นไปตามคาดผมได้ถูกเชิญไปขึ้นเขียงเป็นคนแรก…
ผมรีบขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เพื่อรอทำการตรวจเช็คโดยที่มีคุณภรรยานั่งรออยู่ข้างๆ ในใจผมตอนนั้นนี่คิดแต่ว่า “กูจะได้ผ่าแล้วโว้ย….” “ ลาขาดกันซะทีกะฟันคุดเราจะได้เป็นอิสระต่อกันและกันซะที “ ผมบอกเลยว่าผมลืมเรื่องที่จะต้องทนกับอาการเจ็บต่างๆนาไปเลยในตอนนั้น
หลังจากที่นั่งรอคุณหมออยู่ได้ซักห้านาที พยาบาลกับคุณหมอก็เดินเข้ามาในห้อง และเขาก็ให้ผมบ้วนปากทำความสะอาดก่อนที่จะเริ่มทำการตรวจเช็ค หลังจากนั้นคุณหมอก็เริ่มทำการตรวจเช็คอาการตรงบริเวณฟันคุดว่ายังคงมีอาการปวดอยู่หรือไม่ซึ่งทุกอย่างก็เป็นปกติดี
หลังจากที่คุณหมอคอนเฟิร์มแล้วว่าสถานการณ์ในช่องปากของผมนั้นพร้อมสำหรับการผ่าตัดเอาฟันคุดออกแล้ว ผมก็คิดในหัวว่า “ เอาละเว้ยฟันคุดจ๋าเราต้องลากันแต่เพียงเท่านี้ละ อยู่ทำร้ายกันมาก็หลายปี ฉันคงส่งเธอได้เพียงเท่านี้ ขอทิ้งเธอไว้เพียงกลางทางแค่นี้พอละนะ (คิดบ้าๆบออยู่คนเดียว) ” และในขณะเดียวกันนั้นเองจู่ๆคุณหมอก็เริ่มพูดอะไรบางอย่างซึ่งในตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้สนใจฟังเลยเพราะคิดแต่ว่าวันนี้จะต้องผ่าเอาฟันคุดออกอย่างเดียว จนสุดท้ายภรรยาของผมก็บอกความจริงที่ทำให้ผมถึงกับอึ้งไปเลย
ความแตกต่างระหว่างคลีนิค กับโรงพยายาบาล
หลังจากที่คุณหมอได้คุยกับภรรยาผมเสร็จ คุณภรรยาก็บอกกับผมว่าที่ “ เธอคุณหมอเขาบอกว่าโดยปกติแล้วตามคลีนิคจะไม่รับทำในส่วนของการผ่าตัด…##$@#$#$#…. ” คือตั้งแต่ที่ผมได้ยินคำว่าทางคลีนิคไม่สามารถทำการผ่าตัดได้นั้น สติของผมก็หลุดลอยไปชั่วครู่เลยไม่สามารถฟังที่ภรรยาของผมอธิบายต่อได้จนจบจนผมต้องถามเธออีกครั้ง ก็สรุปได้ตามนี้ว่า
โดยปกติแล้วทางคลีนิคตามชุมชนนั้นจะทำหน้าที่แค่การรักษาเบื้องต้นถ้าอย่างในกรณีทันตกรรมนั้นก็จะทำได้แค่ ตรวจเช็คสภาพฟัน, ถอนฟัน, ฟอกสีฟัน, ทำสะอาด, กำจัดคราบหินปูน, หรือว่าอุดฟันเป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นเคสที่เฉพาะทาง หรือที่จำเป็นจะต้องดำเนินการผ่าตัด ทางคลีนิคจะทำเรื่องส่งต่อคนไข้ไปยังโรงพยาบาลใหญ่ๆตามเมืองต่างๆ ซึ่งทางโรงพยาบาลนั้นจะมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมทั้งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากกว่าทางคลีนิค
หลังจากที่ผมเข้าใจในขั้นตอนการดำเนินการ ผมก็รู้สึกแอบเสียใจเล็กน้อยเพราะตัวผมเองก็คาดหวังไว้ว่าผมจะได้ทำการนำเจ้า ฟันคุด เจ้าปัญหานี้ออกไปซักทีแต่ก็จบลงที่ไม่สามารถทำได้ แต่ว่าคุณหมอก็ได้แนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลในเมืองโทนามิซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆกับเมืองที่ผมอาศัยอยู่ พร้อมกับเตรียมจดหมายทำเรื่องส่งต่อคนไข้ไปยังทางโรงพยาบาลให้ ซึ่งทางคุณหมอก็ได้นัดให้มารับจดหมายในวันศุกร์พร้อมกับจ่ายยาแก้ปวดและยาฆ่าเชื้อมาให้ผมอีกเผื่อว่าผมจะมีอาการปวดตรงบริเวณนั้นอีกครั้ง
พอถึงวันศุกร์พวกผมก็ไปที่คลีนิคแต่เช้าเพื่อรับจดหมายจากทางคุณหมอเพื่อที่จะนำไปใช้ยื่นกับทางโรงพยาบาลแต่เนื่องด้วยพวกผมคิดว่าวันนี้คนจะต้องเยอะแน่ๆ เพราะเป็นวันศุกร์แถมวันจันทร์หน้าก็ยังเป็นวันหยุดอีก พวกเราก็เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยววันอังคารหน้าเราจะไปที่โรงพยาบาลนั่นแต่เช้าแทน
และเมื่อวันอังคารมาถึง (16 ก.ค. 2562) พวกผมรีบไปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 8.30 น. ด้วยความที่พวกผมเองพึ่งมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นครั้งแรกก็เลยจำเป็นที่จะต้องกรอกประวัติผู้ป่วยก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็ยื่นเอกสารให้ครบรวมไปถึงแจ้งแผนกที่เราจะทำการติดต่อแล้วก็รอคิวเรียกตรงล็อบบี้
Note: เอกสารที่ผมใช้ยื่นในตอนนั้นก็จะมี
- บัตรประจำตัวผู้พำนัก หรือไซริวกาโดะ (在留カード)
- บัตรประกันสุขภาพ หรือ National Health Insurance (国民健康保険)
- จดหมายจากทางคลีนิค
ซึ่งหลังจากที่พนักงานได้กรอกประวัติทุกอย่างเรียบร้อย เขาจะทำการเรียกเราเพื่อแจ้งว่าเราจะต้องทำอะไรต่อไปพร้อมทั้งให้เอกสารพร้อมทั้งบัตรคนไข้ไปยื่นตามแผนกที่เราจะติดต่อรับการรักษา ซึ่งผมต้องไปติดต่อแผนกทันตกรรมที่ชั้น2 และเมื่อไปถึงก็จะมีเจ้าหน้าที่รออยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็ให้ทำการยื่นเอกสารแล้วเขาก็จะให้เรากรอกประวัติว่ามีอาการแพ้ยาหรือไม่รวมไปถึงมีอาการเจ็บป่วยแบบไหนมาก็ให้เรากรอกให้เรียบร้อยหลังจากนั้นก็ให้นำไปยื่นคืนพนักงานตรงเคาน์เตอร์แล้วก็รอคิวเรียกจากทางพยาบาลได้เลย…
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นที่แพนกทันตกรรมในโรงพยาบาลแห่งนั้นก็คือ ที่นั่นเขาจะมีแจ้งไว้ว่าถ้าหากเรามาติดต่อโดยที่มีจดหมายส่งตัวคนไข้ที่ออกโดยแพทย์ หรือคลีนิคที่เราไปทำการรักษามายื่นด้วยนั้นทาง ร.พ. จะทำการจัดคิวให้เราเป็นกรณีพิเศษ นั่นหมายความว่าเราจะถูกจัดให้อยู่ในคิวลำดับต้นๆ (ประมาณว่าเป็นเคสสำคัญ) ซึ่งหากใครที่ walk-in ก็จะถูกจัดให้อยู่คิวลำดับท้ายๆ
เนื่องด้วยวันนั้นมีคนมาใช้บริการอยู่เยอะพอสมควรทำให้พวกผมต้องรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็ถึงคิวผมซะที พยาบาลได้เรียกผมให้ไปทำการ X-Ray ดูอาการอีกรอบเนื่องจาก รูปถ่ายจากทางคลีนิคนั้นมีขนาดเล็กเกินไป (เวรกรรมแท้ๆ – -”) ซึ่งผมก็ไม่ติดใจอะไร ก็เข้าไปทำตามที่พยาบาลบอกแต่ปรากฎว่า ฟิล์มที่ถ่ายออกมามองไม่เห็นฟันคุดอีก ไม่รู้ว่าพยาบาลวางแผ่นฟิล์มไม่ดีหรือว่ายังไง แถมยังไม่ให้ถ่ายใหม่อีกต่างหาก สุดท้ายพยาบาลก็ต้องให้เราไปติดต่อยังแผนก X-Ray ที่ชั้น1 เพื่อทำการ X-Rayบริเวณปากทั้งหมด โชคดีที่แผนก X-Ray ในตอนนั้นคนไม่เยอะผมจึงไม่ต้องคิว จึงใช้เวลาดำเนินการไม่กี่นาที สุดท้ายก็เอาเอกสารทั้งหมดมายื่นแล้วก็รอเรียกอีกครั้งหนึ่ง…
เรื่องวุ่นๆเล็กน้อย
เนื่องด้วยในวันนั้นคนมาใช้บริการค่อนข้างเยอะพอสมควรรวมไปถึงมีคนไข้บางท่านที่ต้องรับคิวผ่าตัดด้วยเช่นกันทำให้ผมต้องนั่งรออีกประมาณชั่วโมงกว่าหลังจากยื่นผล X-Ray ตอนนั้นน่าจะประมาณ 9.40 น. กว่าจะถึงคิวเรียกก็ปาไปเกือบ11โมงแล้ว ในที่สุดผมก็ถูกเรียกเข้าไปซะที…
ขอนอกเรื่องแปปนะครับ พอเข้าไปในห้องตรวจรอบที่สองผมสังเกตุเห็นว่า เห้ยเขาวางเก้าอี้ตรวจติดกันแบบนี้เลยเหรอ คือมันไปอะไรที่ดิบมากๆ และปกติแล้วถ้าพูดถึงที่ไทยหากเราไปคลีนิคที่ไทยเขามักจะแบ่งเป็นห้องตรวจเป็นห้องๆ แต่ที่นี่ไม่เลย ไม่มีแม้แต่ม่านกั้นคุณจะสามารถเห็นคนไข้คนอื่นๆได้แทบจะใกล้ชิดเลยทีเดียว ในห้องนั้นก็จะมีเก้าอี้อตรวจอยู่ประมาณ สามที่มั้งถ้าผมจำไม่ผิด โดยที่อันในสุดนั้นจะมีม่านซึ่งผมเข้าใจว่าอันนั้นคือสำหรับการผ่าตัดแน่ๆ ส่วนอีกสองอันนนี้คือเอาไอ้ตรวจเบื้องต้นนั่นคือสิ่งที่ผมเข้าใจ
กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ หลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตรวจคุณหมอก็เริ่มเข้ามาคุยซึ่งภรรยาผมก็เป็นคนช่วยคุยให้ซึ่งก็พอจะสรุปได้ตามนี้ คุณหมอได้บอกว่าตัวของเขาได้ทำการอ่านจดหมายพร้อมทั้งดูฟิล์ม X-Ray เป็นที่เรียบร้อยแล้วทางตัวคุณหมอเองคิดว่าเคสนี้ไม่น่าจะมีอะไรยากเท่าไหร่ก็สามารถผ่าออกได้ไม่ยากเพียงแต่ว่าในวันนี้ทางคุณหมอเองต้องมีคิวผ่าต่อจากนี้อาจจะไม่สะดวกทำการผ่าให้ได้ในวันนี้…
ผมกับแฟนก็รู้สึกผิดหวังเพราะว่าพวกเราต่างก็อย่ากที่จะทำการผ่าให้มันเสร็จๆไป แต่พวกเราก็ไม่ยอมแพ้คุณภรรยาก็พยายามช่วยคุยกับคุณหมอให้เพราะว่าทางเราไม่อยากที่จะต้องคอยหยุดงานบ่อยๆเพื่อที่จะต้องมาเข้าๆออก ร.พ. ซึ่งหลังจากคุยได้ซักพักทางคุณหมอก็เริ่มที่จะโลเลว่า ผมสังเกตุเห็นว่าคุณหมอไม่แน่ใจว่าพยาบาลที่เป็นคนคอยจัดการตารางนัดจะโอเคหรือไม่แต่ ดูท่าทางคุณพยาบาลจะเข้าข้างภรรยาของผมรวมไปถึงเห็นใจพวกผมด้วย เธอเลยช่วยเคลียคิวแล้วก็แจ้งกับคุณหมอให้ได้ทราบ
ซึ่งสุดท้ายแล้วคุณหมอก็ได้บอกว่าเดี๋ยวเขาจะทำการผ่าให้ทันทีหลังจากผ่าตัดคนไข้คิวถัดไปเสร็จ พวกเราต่างก็รู้สึกดีใจบวกกับของคุณคุณหมอและพยาบาลหลายต่อหลายหน คุณหมอได้บอกให้พวกเรารอประมาณสี่สิบนาทีแล้วเดี๋ยวเขาจะเรียก… ระหว่างรอคุณหมอเรียกพวกเราก็ได้ทำการกินข้าวกลางรอพร้อมกับแปรงฟันล้างปากให้เรียบร้อยแล้วก็กลับไปรออยู่บริเวณหน้าห้องตรวจ
ชั่วโมงแห่งการรอคอย
หลังจากที่รออยู่ประมาณเกือบชั่วโมง (รวมเวลาที่พวกเราไปทานข้าวกลางวันด้วย) ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปขึ้นเขียงจริงๆสักที…
เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องตรวจอีกครั้งจู่ใจผมก็รู้สึกเต้นรัวขึ้นมาในทันทีไม่รู้ว่าด้วยอาการตื่นเต้นหรือด้วยอาการกลัว แต่ว่าผมพยายามควบคุมตัวเองแล้วก็เดินเข้าห้องตรวจไปด้วยอาการสงบโดยมีคุณภรรยาคอยอยู่ข้างๆ
ในห้องตรวจนั้นคนไข้ที่อยู่เตียงถัดไปยังคงนั่งอึนอยู่หลังจากการผ่าตัดซึ่งเอาจริงๆผมก็สงสัยนะว่าเขาโอเคหรือเปล่าคือผมไม่แน่ใจว่าเขาผ่าฟันคุดดวยหรือเปล่าแต่สภาพของเขานั้นดูเหมือนเขามึนยาอะไรสักอย่าง และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยว่าผมจะรอดหรือเปล่านะ
เมื่อผมไปถึงเก้าอี้ตัวเดิมดูเหมือนอุปกรณ์ทุกอย่างได้ถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วผมในตอนนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตรวจด้วยสภาพที่เหมือนกับคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว หลังจากนั้นคุณหมอก็เข้ามาบอกให้ทำการบ้วนปากซะก่อนจะเริ่มทำการผ่าตัด แล้วผมก็เองตัวลงนอนตามปกติแล้วคุณหมอก็เข้ามาเช็คสภาพในช่องปากก่อนทำการผ่าจริง ซึ่งต่อจากนี้การผ่าตัดเอา ฟันคุด ออกก็ได้เริ่มต้นขึ้น…
โดยปกติแล้วจากประสบการณ์ที่ผมได้ทำการผ่าฟันคุดซีกซ้ายออกไปรวมไปถึงพาคุณภรรยาไปทำการผ่าฟันคุดออกตอนยังอยู่ที่ไทยด้วยนั้นผมสังเกตุว่าเขามักจะมีผ้าคลุมมาคลุมหน้าเราไว้เพื่อไม่ให้เรามองเห็นอะไร ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆคนที่มีประสบการณ์ที่ต้องเข้ารักการรักษาจะรู้ดี
แต่ที่มันเรียลมากผ้าเดินมาพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวมาม้วนเล็กน้อยให้ดูหนาๆ แล้วเอามาปิดตรงบริเวณรอบดวงตาผม !! (เดี๋ยวๆๆๆ นี่ไม่ใช่สปานะ) และมันไม่ได้ช่วยปิดบังอะไรเลยแม้แต่น้อยถ้าจะให้ผมพูดคือสุดท้ายผมเห็นทุกอย่าง นึกสภาพคุณนอนอ้าปากแล้วคุณเห็นอุปกรณ์ทุกอย่างที่คุณหมอถือนะคุณเอ้ย ตอนแรกสำลีที่มียาชาป้ายอยู่ ยังพอทำใจได้ พอซักพักเจอไอ้หลอดเข็มยาชาเท่านั้นแหละคุณเอ้ย…
มันเป็นภาพที่แบบ คือผมนึกภาพเครื่องมือที่วางอยู่ก่อนหน้าที่ผมจะนอนลงบนเตียงไม่ว่าจะเป็น ท่อดูดเอย, สว่านเอย, มีดผ่า, และสารพัดอุปกรณ์ ตอนนั้นผมแบบเออ…เอาวะกูยอมหลับตาก็ได้ ผมบอกตามตรง ใจผมไม่แข็งพอที่จะทนดูจริงๆ T-T (ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าผ้าขนหนูมีไว้เพื่ออะไร)
หลังจากที่จิ้มหมอจิ้มยาชาเข้ามาที่เหงือกผมซึ่งเองเองก็ไม่รู้ว่าโดนไปกี่เข็มเพราะเริ่มรู้สึกตึงๆตั้งแต่เข็มที่สอง แต่เข้าใจว่าหลายอยู่ เหมือนผมจะได้ยินหมอแกบอกว่าเดี๋ยวจัดการฟันบนก่อนเพราะว่ามันดูดึงออกง่ายซึ่งถ้าดูจากภาพ X-Ray ผมก็เชื่อที่หมอพูดนะ แต่พองานปฏิบัติจริงดูเหมือนจะไม่ง่ายสำหรับหมอเลย สภาพผมในตอนนั้น แฟนผมบอกกับผมว่า หัวผมนี่โยกไปมาราวกับผมยืนโยกหัวอยู่ในงานคอนเสิร์ตเพลงร็อคเลย ซึ่งส่วนของฟันบนก็ใช้เวลาอยู๋พอสมควรจึงจะเอาออกมาได้
ต่อมาก็ฟันล่างเจ้าปัญหานี่ละครับซึ่งสภาพในตอนนั้นก็ไม่ต่างจากฟันบนซักเท่าไหร่แต่ต้องบอกว่าหนักกว่าเพราะมันออกมายากมากผมไม่แน่ใจว่าตอนที่หมอพยายามดึงฟันผมออกนี่เขาใช้ขายันเก้าอี้ไว้หรือเปล่า… ผมได้ยินพยายามถึงกับถามหมอว่าเปลี่ยนอุปกรณ์มั้ยแต่คุณหมอก็ยังไม่ยอมแพ้จนสุดท้ายก็เอามันออกมาจนได้ หลังจากนั้นคุณหมอก็ทำการเย็บแผลแล้วก็เขาให้ผมกัดผ้าก๊อซไว้ซักพัก แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จ (ผมดีใจมากที่ทุกอย่างจบสิ้น) หลังจากที่หมอปรับเก้าอี้ให้ผมขึ้นมานั่งตามปกติผมสังเกตุเห็นได้เลยว่าคุณหมอมีอาการเหงื่อแตกจากการถอนฟันคุดของผม
หลังจากนั้นจู่ๆคุณเขาก็ให้ผมเอาออกแล้วก็บอกว่าโอเคทุกอย่างเรียบร้อย คุณหมอบอกกับผมว่าเดี๋ยวซักพักเลือดก็หยุดแล้วก็อธิบายถึงการดูแลรักษาทั่วไป หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างพวกผมก็ขอบคุณคุณหมอและพยาบาลพร้อมทั้งออกมารอเจ้าหน้าที่เตรียมเอกสารให้ไปยื่นชำระเงิน รวมไปถึงนัดวันที่จะทำการตัดไหมออก ซึ่งพวกเราก็ตัดสินใจเป็นวันอังคารที่ 23 เวลา 9.30น.
หลังจากที่ได้เอกสารที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้เพื่อนำไปยื่นชำระเงินซึ่งจะใส่มาในแฟ้มใสๆ พวกผมก็ลงมาที่เคาน์เตอร์ด้านล่างซึ่งที่นี่เจ๋งตรงที่มีระบบชำระเงินด้วยตัวเองผ่านตู้อัตโนมัติไม่ต้องรอพนักงานเรียกอีกต่อไปแค่รอคิวจ่ายที่เครื่องอัตโนมัติได้เลย ซึ่งขั้นตอนก็ไม่มีอะไรยุ่งยากเพียงแค่เราทำตามขั้นตอนดังนี้
- ให้เราทำการสแกนบาร์โค้ดตรงเอกสารด้านบน หรือเราจะเลือกสอดบัตรคนไข้เข้าไปตรงช่องใส่การ์ดก็ได้เช่นกัน ระบบจะทำการแสดงรายละเอียดข้อมูลการรักษารวมไปถึงสรุปค่าใช้จ่ายให้กับเรา
- เมื่อเราตรวจสอบเรียบร้อยว่าข้อมูลถูกต้องก็ให้เราทำการกดปุ่ม “ ยืนยัน ” หลังจากนั้นระบบจะทำการเปิดช่องให้ทำการใส่ธนบัตรลงไป (กรณีที่ต้องจ่ายเป็นเหรียญ ให้ใส่ในช่องสำหรับใส่เหรียญ อย่าใส่ปนกันนะ) จากนั้นก็ให้เรา “ยืนยัน” อีกครั้งหลังจากนั้นระบบจะทำการคำนวนยอดเงินที่เราใส่ลงไป
- หลังจากที่ระบบคำนวนเสร็จหากทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ระบบก็จะทำการออกเอกสารใบเสร็จให้กับเรา และถ้าเกิดเรามีนัดกับคุณหมอระบบก็จะทำการออกใบนัดให้กับเราด้วย
- หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ให้เราทำการ คืนแฟ้มและเอกสารสำหรับยื่นชำระเงินคืนกับทางโรงพยาบาลไปซึ่งจะเป็นกล่องตั้งอยู่ข้างๆกับตู้จ่ายเงินอัตโนมัติ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จเราก็สามารถกลับบ้านได้
การใช้ตู้ชำระเงินอัตโนมัตินั้นค่อนข้างสะดวกและใช้เวลาไม่นานแต่ถ้าใครที่กลัวว่าจะใช้ไม่เป็นทางโรงพยาบาลก็จะมีพนักงานคอยแนะนำวิธีการใช้งานให้กับเราด้วย หรือถ้าไม่สะดวกจริงๆเราก็สามารถไปยื่นตรงเค้าเตอร์ชำระเงินได้ตามปกติเช่นกันครับ
หลังจากชำระเงินทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ทำการสั่งยาแล้วก็เตรียมตัวไปรับที่ร้านเภสัชใกล้ๆบ้าน ในตอนนั้นผมเองก็ทึ่งในฝีมือการเย็บแผลของคุณหมอท่านนี้มากเพราะผมรู้สึกได้เลยว่าเลือดไม่ค่อยซึมออกมาเยอะเท่าไหร่แต่ก็เริ่มที่จะรู้สึกเจ็บแผลมากขึ้นเรื่อยๆเพราะฤทธิ์ของยาชานั้นเริ่มหมดลงเรื่อยๆ สุดท้ายพวกผมก็ขับรถไปรับยาพร้อมทั้งซื้อพวกผงปรุงข้าวต้มมาไว้ทำกินเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วก็กลับบ้านทานยาพักผ่อนแล้วก็รอเวลาที่จะไปตัดไหม….
วันนัดตัดไหม
วันอังคารที่ 23 วันที่ผมรอคอยมาตลอดสัปดาห์เพราะเป็นวันที่ผมจะสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง (ว่าไปนั่น) ผมรีบไปถึงโรงพยาบาลก่อนเวลานัดถ้าจำไม่ผิดผมไปถึงตอน 9.05น. เพื่อรีบไปรับบัตรคิวเพราะกลัวว่าคนจะเยอะ (ซึ่งเอาจริงๆทางแผนกเขาก็จะมีตารางนัดอยู่แล้วซึ่งยังไงผมก็ต้องรอตามคิวอยู่ดี)
เมื่อถึงโรงพยาบาลผมก็รีบเตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อมทั้งใบนัดบัตรประจำตัวบัตรประกัน แล้วก็ไปรับบัตรคิวที่ตู้อัตโนมัติ ซึ่งเพียงแค่เอาบัตรคนไข้เสียบเข้าไปแล้วกดยืนยันแล้วทางระบบก็จะทำการออกบัตรคิวให้ทันที หลังจากนั้นก็รีบขึ้นไปติดต่อที่แผนกทันตกรรมแล้วก็รอคิวเรียก
ซึ่งวันนั้นผมต้องรอคิวจนเกินเวลานัดผมไปประมาณยี่สิบนาทีเนื่องจากว่ามีปัญหาติดขัดกับคนไข้บางราย เมื่อถึงคิวผมผมก็เข้าไปนั่งที่เก้าอีกตัวเดิม คุณหมอก็มีสอบถามอาการตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเนื่องจากผมดูแลรักษาแผลอย่างดีเยี่ยมตลอดเวลาชนิดที่ว่ายุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม (ก็เวอร์ไป)
หลังจากสอบถามกันเรียบร้อยคุณหมอก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกให้ผมนอนอ้าปากเสดแล้วเขาก็เริ่มทำการตัดไหมอย่างรวดเร็วและดิบอีกเช่นเคย คราวนี้ไม่มีอะไรมาปิดตาเราเพียงแค่อ้าปากอย่างเดียวแต่ก็จะติดปัญหานิดนึงคือไม่รู้ว่าหมอเย็บแผลผมไว้แน่นเกินหรือว่ายังไงพอแผลมันสมานตัวมันทำให้มองเห็นไหมได้ยากขึ้นทำให้ต้องใช้เวลาในการเอาออกนานเล็กน้อย แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงด้วยดี…
หลังจากนั้นคุณหมอก็แนะนำให้ระวังเรื่องของเสดอาหารเข้าไปติดตรงตายรอยแผลและเหงือกที่ยังไม่ปิดเต็มที่ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพียงแค่เราระวังและคอยทำความสะอาดอยู่เสมอ หลังจากนั้นก็ลงไปทำการชำระเงินซึ่งผมเองก็แอบแปลกใจตรงที่แค่ตัดไหม หมอยังชาร์จอีกแถมค่าตัดไหมราคาก็ไม่ใช่เล่นๆเช่นกัน…
สุดท้ายก็ชำระเงินแล้วก็แวะทานกาแฟที่คาเฟ่ในโรงพยาบาล (โกโก้ที่นั่นอร่อยมากเสียดายที่นั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ทาน) ก่อนที่ผมจะกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่เป็นอิสระอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
และนั่นก็เป็นประสบการณ์ผ่า ฟันคุด ครั้งแรกและครั้งเดียวในญี่ปุ่นของผม
และสิ่งที่ผมสัมผัสได้เกี่ยวกับการทำทันตกรรมที่นี่ผมรู้สึกว่าการแพทย์ที่ญี่ปุ่นนั้นจะแตกต่างกับที่บ้านเราตรงที่ผมว่าเค้าค่อนข้างจะดิบกว่าของบ้านเรา แถมที่นี่เค้าจะไม่ค่อยให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของความเจ็บปวดเท่าไหร่ถ้าเทียบกับบ้านเรา คือต้องบอกว่าหมอที่ไทยนั้นมือเบากว่ากันเยอะ อันนี้ภรรยาผมก็คอนเฟิร์มเช่นกัน (ที่นี่เค้าจะมองว่าทำฟันแล้วมันก็ต้องมีเจ็บกันบ้างเป็นของคู่กัน) ซึ่งผมก็ไม่ขอคอนเฟิร์มว่าที่ผมคิดไว้มันจะถูกต้อง100%นะครับ
สุดท้ายแล้วค่าใช้จ่ายทั้งหมดในครั้งนี้ก็จะแบ่งได้ตามนี้
รายการ |
ค่าใช้จ่าย (เยน) |
---|---|
ส่วนของที่คลีนิค | |
ค่าพบหมอ พร้อมกับค่ายาครั้งแรก | 1,150 |
ค่าพบหมอ พร้อมกับค่ายาครั้งที่สอง | 600 |
ค่าจดหมายสำหรับส่งตัวคนไข้ | 920 |
ส่วนของโรงพยาบาล | |
ค่ารักษาพยาบาลในการผ่า ฟันคุด | 7,250 |
ค่ายา | 650 |
ค่าตัดไหม | 980 |
รวมทั้งสิ้น | 11,810 |
ซึ่งนี่เป็นค่าใช้จ่ายที่ผมได้ใช้ประกันยื่นไปเพื่อได้ใช้สวัสดิการในส่วนของการรักษานะครับ ลองคิดดูว่าถ้าผมไม่ได้ใช้ประกันสุขภาพละก็ จะโดนค่าใช้จ่ายขนาดไหน T-T
และสุดท้ายนี้ก็อยากจะแนะนำท่านผู้อ่านว่า พยายามดูแลรักษาสุขภาพให้ดีๆเวลาที่เราไปเที่ยวต่างแดนนั้นดีที่สุด เพราะถ้าเกิดป่วยเป็นอะไรขึ้นมาแล้วคุณไม่มีประกันละก็ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลกันอ้วกแตกแน่ๆ
แล้วก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านหรือให้ความสนใจกับบทความนี้นะครับ
และหากท่านผู้อ่านอยากติดตามข้อมูลหรือเรื่องราวชีวิตของพวกเราเพิ่มเติมนอกเหนือจากในเว็บไซต์
instagram: okopanthunderstorm
facebook: okopanthunderstorm.
หาใครมีข้อสงสัย หรือข้อติชมสามารถคอมเม้นต์ไว้ที่ด้านล่างได้เลยนะครับ
แล้วเจอกันครับ See you !!
Tooth Vector by : Vextok from Freepik
Other Photo : giphy